
ผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นผักปลอดสารพิษที่ลงทุนน้อยและสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ลงทุนได้ไม่น้อย ในบทความนี้จะมาชวนเพื่อนๆมารู้จักกับวิธีการ ปลูกผักไฮโดรสร้างรายได้ อาชีพเสริมปี 2566 ที่สามารถนำมาสร้างรายได้หลักหมื่นต่อเดือนไม่ว่าจะเป็นมือใหม่แค่ไหนก็ยังสามารถปลูกได้ง่ายๆ เพียงแค่รู้ขั้นตอนและวิธีการปลูกที่ถูกต้องก็สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ลงทุนได้เป็นกอบเป็นกำ จะมีขั้นตอนอย่างไรลองไปดูกันเลยค่ะ
รู้จักกับผักไฮโดรโปนิกส์
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เป็นการปลูกโดยไม่ใช้ดินใช้เพียงน้ำและสารอาหารละลาย ซึ่งสารอาหารต่างๆเหล่านี้จะมีแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับพืชโดยเฉพาะ รูปแบบของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์มี 3 แบบด้วยกันคือ
- ปลูกโดยใช้สารละลายซึ่งจะมีแร่ธาตุอาหารที่เหมาะสมผ่านทางราก โดยปลูกบนรางที่มีความลาดชัน มีชื่อเรียกกันว่า Nutrient Film Technique ซึ่งระบบนี้นิยมปลูกผักสลัด ซึ่งจะมีอายุในการเจริญเติบโต 45-50 วัน
- ปลูกแบบลอยน้ำ วิธีนี้จะยกรางปลูกสูงขึ้นเพื่อให้รากของผักที่ต้องการปลูกลอยอยู่ในอากาศ ในส่วนของปลายรากจะอยู่ในรางปลูก ซึ่งในรางปลูกนั้นจะมีสารละลายธาตุอาหารไหลผ่านตลอดเวลา เรียกวิธีการปลูกนี้ว่า Deep Flow Technique นิยมปลูก ผักคะน้า ผักบุ้ง และผักโขม
- ปลุกแบบน้ำเยอะ ซึ่งวิธีนี้จะใช้แผ่นโฟมมาเจาะรู และใส่น้ำ เรียกว่าDynamic Root Floating Technique นิยมปลูกผักประเภทขึ้นฉ่าย กะเพรา ไม่นิยมนำมาปลูกผักสลัดหรือพืชทรงพุ่มเพราะแผ่นโฟมทำความสะอาดยากอาจทำให้เกิดเชื้อโรคและทำให้ใบเน่าหรือเสียหาย
วัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ปลูกผักไฮโดรนิกส์

การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และวัสดุต่างๆให้พร้อมเพื่อให้ได้ผลที่งอกเงยและสร้างกำไรให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดีเริ่มจาก
- โรงเรือนสำหรับเพาะปลูก ในที่นี้ไม่ได้จำกัดขนาดจะเล็กหรือใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ลงทุน แต่ปัจจัยหลักควรให้อากาศถ่ายเท และอยู่ในที่โล่งแจ้งมีแหล่งน้ำที่เพียงพอ ข้อสำคัญระบบไฟฟ้าเพื่อช่วยควบคุมระบบการจ่ายน้ำให้สม่ำเสมอ และควรมีมุ้งสำหรับป้องกันแมลงหรือฝน
- ภาชนะสำหรับปลูกโดยส่วนใหญ่นิยมใช้ท่อ PVC เจาะรูและต่อทำเป็นระบบราง ซึ่งใช้เงินทุนค่อนข้างน้อย
- พัสดุสำหรับปลูก ซึ่งจะนำมาใช้แทนดินเป็นส่วนที่มีไว้ให้รากและลำต้นยึดเกาะ โดยทั่วไปนิยมนำหินภูเขาไฟ เม็ดดินเผา ฟองน้ำ หรือทรายมาใช้ให้ลำต้นและรากยึดเกาะ สำหรับค้ำยันพืชที่มีลำต้นมีทรงพุ่มไม่สูง แต่หากปลูกพืชที่มีลำต้นสูงจะใช้ไม้ค้ำและเชือกหรือลวดเป็นวัสดุในการผูกให้ลำต้นทรงตัวอยู่ได้
- เมล็ดพันธุ์ผักที่จะใช้ปลูก ควรเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ผักที่มีความเหมาะสมกับการปลูกในแต่ละระบบเช่นผักสลัดเหมาะกับการปลูกแบบ Nutrient Film Technique (NFT) ผักไทยเหมาะกับการปลูกแบบ Deep Flow Technique ( DFT)
- สารละลายที่มีธาตุอาหารสำหรับเพาะปลูก และน้ำสะอาด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชน้ำควรจะมีปริมาณที่เพียงพอสำหรับการปลูกและตัวของสารละลายจำเป็นจะต้องมีธาตุอาหารที่สำคัญครบถ้วน
- อุปกรณ์สำหรับเตรียมสารละลายธาตุอาหาร คุณเตรียมไว้โดยเฉพาะเพื่อให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องมีประกอบไปด้วยถังสำหรับใส่สารละลาย ถุงมือ เครื่องชั่งอุปกรณ์สำหรับตวงปริมาณของสารอาหารและปุ๋ย
- อุปกรณ์สำหรับตรวจวัดรวมถึงควบคุมสารละลายที่มีธาตุอาหาร
- เตรียมระบบน้ำและไฟให้พร้อมซึ่งการปลูกในระบบนี้จะใช้สารละลายไม่มีธาตุอาหารไหลผ่านหมุนเวียนไปตามรางปลูก แต่หากปลูกจำนวนไม่มากหรือปลูกไว้เฉพาะครัวเรือนไม่จำเป็นต้องใช้ระบบนี้ก็ได้
- มีระบบควบคุมอุณหภูมิรวมถึงความชื้นภายในโรงเรือน อากาศที่ร้อนจัดอาจส่งผลต่อผักที่ปลูกมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชดังนั้นจึงควรวางระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่อยู่ภายในโรงเรือนให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช
- ระบบขนส่งหรือห้องเย็นควรมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นคงที่ได้ เพื่อทำให้ผักมีความสดใหม่อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถึงมือผู้บริโภค

วิธีการปลูก
- เลือกผักที่ต้องการปลูก ก่อนลงมือปลูกจะต้องกำหนดและเลือกชนิดของผักเสียก่อนเพื่อจะได้เตรียมอุปกรณ์และเลือกวิธีการปลูกได้ถูกต้องเช่นหากเพื่อนๆต้องการจะปลูกผักสลัดก็จะใช้วิธีการปลูกแบบ NFTแต่หากต้องการปลูกขึ้นฉ่ายหรือกระเพราก็จะต้องเลือกใช้วิธีการปลูกแบบ DFT
- เมื่อเลือกผักที่ต้องการจะปลูกเรียบร้อยแล้วจากนั้นก็เตรียมโรงเรือนให้พร้อม โดยการปลูกแบบ NFT รังปลูกจะลาดเอียงเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ง่าย การปลูกแบบ DFT จะต้องทำเป็นรังยกสูงส่วน DRFT จะใช้แผ่นโฟมนำมาเจาะรูและรองด้วยแผ่นพลาสติกใส่น้ำ
- ขั้นตอนต่อมาทำการเพาะต้นกล้าโดยนำเมล็ดพันธุ์ผักใส่ลงในถ้วยเพาะ จากนั้นใส่น้ำลงในถ้วยเพราะให้มีความสูงประมาณ 2 cm และวางไว้ในจุดที่แดดไม่แรงและระบายอากาศได้ดี เมื่อต้นกล้างอกออกขึ้นมาแล้วจึงเติมสารละลายที่มีธาตุอาหารแบบเจือจางในถาดเพาะเพื่อให้ร่างมีความแข็งแรงและควรเปลี่ยนสารอาหารสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนกระทั่งต้นกล้ามีอายุ 2-3 สัปดาห์จึงย้ายลงไปยังแปลงปลูก
- ในช่วงที่เพาะต้นกล้า ช่วงนี้ให้เพื่อนๆมาเตรียมสารละลายที่มีแร่ธาตุอาหารสำหรับพืชซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กันอยู่ 2 แบบก็คือสารละลายที่มีธาตุอาหารในแบบเจือจางและอีกแบบคือแบบเข้มข้น โดยใช้สูตรดังนี้ ความเข้มข้นของสารละลาย = อัตราส่วนที่เจือจาง x ความจุของถังสำหรับบรรจุสาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ธาตุอาหารที่เหมาะสม
- ใช้ pH Meter วัดท่ากดด่าง และใช้ EC Meter วัดดูค่าความนำไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของสารละลายสำหรับปลูกผัก
- ในระยะเวลาที่ปลูกผักเพื่อนๆจำเป็นจะต้องควบคุมคุณภาพและปริมาณของน้ำให้เหมาะสมและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนสารละลายที่มีธาตุอาหารสำหรับพืชทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ผักได้รับสารอาหารที่ครบ แล้วเติบโตได้อย่างเต็มที่

ช่องทางการจำหน่าย
เมื่อผักที่ปลูกเติบโตเต็มที่โดยใช้ระยะเวลา 45-50 วันสำหรับผักสลัดก็ถึงช่วงที่สามารถเก็บเกี่ยวและนำไปขายเพื่อสร้างรายได้ได้แล้ว ผู้ลงทุนสามารถเก็บเกี่ยวและล้างทำความสะอาดและนำมาบรรจุใส่ถุงให้เรียบร้อยก่อนนำไปขาย หรือจะนำมาทำเป็นอาหารเช่นจัดเป็นชุดสลัดพร้อมรับประทาน วางขายตามแหล่งที่มีกลุ่มคนรักสุขภาพ อย่างเช่นโรงพยาบาล สถานที่ราชการ ตลาดออฟฟิศสำนักงาน สถานที่หรือแหล่งที่มีคนออกกำลังกาย เป็นต้น
ต้นทุนและรายได้จากการขายผักไฮโดร
การปลูกผักแบบไฮโดร เป็นการปลูกผักโดยที่ไม่ใช้ดิน แต่เน้นการให้สารอาหารสำหรับพืชโดยผ่านทางน้ำ ซึ่งมีข้อดีก็คือปลูกได้ง่ายไม่จำเป็นต้องขนย้ายดินให้เลอะเทอะและเสียเวลาในการทำความสะอาด สามารถปลูกบนคอนโดมิเนียม และมีศัตรูพืชน้อย นอกจากนี้ยังใช้เงินในการลงทุนไม่มากขึ้นอยู่กับพื้นที่ และปริมาณที่ต้องการปลูกในแต่ละรอบและระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเก็บเกี่ยว 45-50 วัน ผู้ลงทุนจะต้องทำการวางแผนระยะเวลาในการปลูกและเก็บเกี่ยวให้ดี หากต้องการมีรายได้หมุนเวียนต่อเดือนจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัสดุเหลือใช้อื่นๆทดแทนในการปลูกได้เช่น ใช้ขวดน้ำพลาสติกหรือฟองน้ำหรือกระดาษในการปลูกได้ รวมไปถึงสามารถควบคุมและคาดเดาผลผลิตได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งการปลูกโดยใช้วัสดุเหลือใช้นั้นเหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่น้อยหรือจำกัด อย่างระเบียงคอนโด หรือบนดาดฟ้าที่มีพื้นที่จำกัดสามารถปลูกไว้รับประทานเองหรือจะปลูกสำหรับขายเพื่อสร้างรายได้เสริมเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำเงินได้ไม่น้อย
ในความเป็นจริงแล้วแทบทุกชนิดสามารถปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ได้ ซึ่งหากใครที่ไม่มีพื้นที่หรือไม่มีดินในการปลูกและต้องการปลูกผักไว้ในบ้านหรือคอนโดการปลูกผักด้วยวิธีนี้จึงสะดวกและตอบโจทย์เป็นอย่างมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการสร้างรายได้จากการ ปลูกผักไฮโดรสร้างรายได้ อาชีพเสริมปี 2566 เพราะลงทุนน้อย แต่สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำถึงหลักหมื่น หลักแสนต่อเดือนกันเลยทีเดียว