ในทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปมุมไหนของถนนหรือหมู่บ้านเราก็จะเห็นร้านกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่เว้นแม่แต่ตามซอกซอย จะเห็นร้านกาแฟทั้งเล็กใหญ่เต็มไปหมด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าธุรกิจร้านกาแฟนั้นโตขึ้นในทุกปีและหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเปิดร้านกาแฟก็ควรจะต้องศึกษาสิ่งควรรู้ก่อนเปิดร้านกาแฟปี 2023 ซึ่งเป็นบทความที่เราได้นำมาเสนอให้กับเพื่อนๆที่ต้องการเปิดร้านกาแฟเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลัก เพื่อให้ธุรกิจที่ใฝ่ฝันดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่งการวางแผนธุรกิจให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรศึกษาไว้ก่อนจะลงสนามแข่งจริง
เปิดร้านกาแฟใช้เงินลงทุนเท่าไหร่
งบประมาณถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจ จึงควรเตรียมงบประมาณให้รอบคอบ ซึ่งการเปิดร้านกาแฟจะต้องแบ่งงบประมาณออกไว้เป็นส่วนโดยเริ่มจาก
- ค่าก่อสร้างหรือค่าตกแต่งร้าน ซึ่งจะประกอบไปด้วยค่าออกแบบ ค่าตกแต่งภายใน ติดตั้งระบบน้ำไฟ เพื่อให้ร้านออกมาตรงตามแบบที่ต้องการ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เงินลงทุนมากที่สุด งบประมาณจะอยู่ที่ราวๆตารางเมตรละ 8,000-15,000 บาทซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับแบบที่ต้องการ
- ค่าทำสัญญาเช่า
- ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน เช่นเครื่องชงกาแฟ,เครื่องบด,เครื่องปั่น,แก้ว ซึ่งในการเลือกขนาดของเครื่องชงกาแฟขึ้นอยู่กับรูปแบบและขนาดของร้าน โดยงบประมาณสำหรับเครื่องขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง จะอยู่ที่ประมาณ 20,000-80,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในร้านซึ่งประกอบด้วยเครื่องปรับอากาศ,เครื่องคิดเงิน,เครื่องเสียง,เครื่องกรองน้ำ,ตู้เย็น,ตู้แช่เค้กและอุปกรณ์สำหรับทำเมนูอื่นๆ นอกเหนือจากกาแฟ หากเป็นร้านกาแฟมีที่นั่งและติดแอร์ ใช้งบประมาณในการลงทุน ประมาณ 100,000-200,000 บาท ในระดับเล็กและระดับกลาง แต่หากเป็นระดับHi endงบประมาณในการลงทุนราวๆ 250,000-400,000 ขึ้นไป
- ค่าวัตถุดิบในการเปิดร้านครั้งแรก เช่น เมล็ดกาแฟ,นมข้นหวาน,นมข้นจืด,น้ำตาล,ไซรัป,วิปครีม,แก้วกาแฟ และวัสดุสิ้นเปลืองอื่นๆ ซึ่งต้องคำนวนจากยอดขายในแต่ละวันนักเรียนพร้อมให้ใช้ได้ 2-3 สัปดาห์
- เงินทุนหมุนเวียนควรให้เพียงพอสำหรับช่วง 3-6 เดือน ซึ่งจะประกอบไปด้วยค่าเช่าร้าน, ค่าพนักงาน, ค่าวัตถุดิบหมุนเวียน, และค่าสาธารณูปโภค ซึ่งการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอในช่วงเปิดกิจการ 3 เดือนแรกนั้น เป็นการเตรียมแผนรับมือในช่วงแรกก่อนที่จะมีรายได้ซึ่งมาจากลูกค้าประจำ และยังเป็นช่วงที่จะสามารถประเมินได้ว่าจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด
- ค่าทำการตลาด เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้าและยอดขายฉันควรมีงบประมาณในการโฆษณาและการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมเอาไว้
- เงินสำรองฉุกเฉิน เป็นเงินที่ต้องเตรียมไว้ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น อุปกรณ์ภายในร้านพังหรือเสียหาย,เกิดอุบัติภัยต่างๆ ซึ่งเงินในส่วนนี้ควรมีสำรองไว้ประมาณ 30% จากเงินลงทุนอุปกรณ์ทั้งหมดภายในร้าน
ตัวอย่างการลงทุน
- เงินลงทุนทั้งหมดประกอบด้วย งบก่อสร้าง ตกแต่งและลงทุนอุปกรณ์ พื้นที่ 50 ตาราเมตร เป็นเงิน 1,000,000 บาท + เงินทุนหมุนเวียน 500,000 บาท = 1,500,000 บาท
- ต้นทุนกาแฟแก้วละ 15 บาท ขายแก้วละ 60 บาท และตั้งเป้าขาย 100 แก้วต่อวัน
- ยอดขายต่อเดือนคือ 60 บาท x 100 แก้ว x 30 วัน เท่ากับ 180,000 บาทต่อเดือน
- ต้นทุนขายต่อเดือน คือ 15 บาท x 100 แก้ว x 30 วัน เท่ากับ 45,000 บาทต่อเดือน
- เราจะได้กำไรอยู่ที่ 135,000 บาท ก่อนค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานอื่นๆ ดังนี้
- ค่าเช่ารายเดือน ตรม. ละ 1,200 บาท x 50 ตรม. = 60,000 บาท
- ค่าพนักงาน ประกอบไปด้วย ผู้จัดการร้าน เงินเดือน 18,000 บาท และพนักงาน 2 คน คนละ 15,000 บาท รวมเป็น 48,000 บาท
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต 8,000 บาท
- รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อเดือน 116,000 บาท
กำไรที่ได้จากการดำเนินงานคิดเป็น 135,000 – 116,000 = 19,000 บาท
ซึ่งเงินลงทุนจำนวน 1,000,000 บาท นี้ไม่รวมเงินทุนหมุนเวียน หารด้วย 19,000 บาทต่อเดือน จะใช้เวลาในการคืนทุน 4 ปี และหากต้องการให้คืนทุนภายใน 1 ปีเราจะต้องตั้งเป้าว่าต้องการกำไรเดือนละเท่าไหร่ และเริ่มต้นวางแผนในการขายให้ได้จำนวนแก้วมากขึ้นต่อวัน รวมไปถึง การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเช่น ค่าเช่าสถานที่ โดยปรับลดขนาดของพื้นที่หรือ ปรับเปลี่ยนเป็นแบบ Take Away แล้วลดค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่นแก้วกาแฟ กระดาษทิชชู ไม่จำเป็นต้องสกรีนโลโก้ หรือปรับลดเงินทุนเริ่มต้นตัวอย่างเช่นค่าออกแบบตกแต่ง และค่าอุปกรณ์เริ่มต้น ให้เหมาะสมกับราคาขาย ซึ่งหากระบุได้โดยละเอียดก็จะสามารถช่วยปรับลดเงินทุนและสามารถเพิ่มยอดขายทำกำไรและคืนทุนได้เร็วขึ้น
เพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
สิ่งที่สำคัญในการเปิดร้านกาแฟนั่นคือทำเลซึ่งหากเลือกทำเลที่ดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่หากทำเลที่เลือกไว้มีคู่แข่งเป็นจำนวนมากแน่นอนว่าเราซึ่งมาเปิดใหม่จะต้องมีกลยุทธ์และการวางแผนในการดึงลูกค้าให้มาเป็นลูกค้าประจำของร้านเราให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในทางออนไลน์หรือออฟไลน์ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาให้ดีก่อนทำการลงทุนทางด้านการตลาดบล็อกผมหรือไม่ หรือมีช่องทางอื่นในการเพิ่มยอดขายเช่น ขายขนมหรืออาหารที่สามารถทำกำไรหรือเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น หรือจะรับฝากขายสินค้าประเภทเบเกอรี่ที่สามารถขายควบคู่ไปก้บกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ของทางร้านได้
การขอใบอนุญาตและจัดการเรื่องภาษีที่ควรรู้
ร้านกาแฟไม่ว่าจะขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ต้องมีการขออนุญาตและจดทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งผู้ที่ลงทุนควรที่จะต้องเรียนรู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรเรามีคำตอบมาให้ดังนี้
- อันดับแรกคือจะต้องทำเรื่องขอหนังสือรับรองหรือใบอนุญาต ชำระค่าธรรมเนียมที่สำนักงานเขตในท้องที่ที่เปิดร้าน เพื่อแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร
- จดทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งจะมีการจดทะเบียนอยู่ 2 ประเภทนั่นก็
- แบบบุคคลธรรมดา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าทะเบียนการค้า และร้านค้าใดๆก็ตามที่จดทะเบียนพาณิชย์เป็นแบบบุคคลธรรมดาในแต่ละปีจะต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 ช่วงครึ่งปีแรกและ ภ.ง.ด. 90 ในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยยื่นผ่านทางออนไลน์ และสำหรับร้านที่มียอดขายต่อปีเกิน 1.8 ล้านขึ้นไปจะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
- แบบนิติบุคคล จะมีความซับซ้อนเพราะว่าจะเหมือนกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายมีการกำหนดทุนจดทะเบียนและหาผู้ร่วมทุน รวมถึงมีการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบ ด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากร้านกาแฟโดยทั่วไปจึงไม่นิยมจดทะเบียนในรูปแบบนี้ นอกเสียจากมีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงแรกเพราะการจดทะเบียนแบบนิติบุคคลมีข้อดีคือเสียภาษีน้อยกว่าแบบบุคคลธรรมดา และสามารถนำไปกู้ยืมเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ง่ายกว่าแบบบุคคลธรรมดา
- ชำระภาษีป้าย โดยชำระที่สำนักงานเขตในพื้นที่ที่เราเปิดร้านปีละหนึ่งครั้ง หลักๆ จะเป็นป้ายหน้าร้าน ป้ายที่อยู่นอกร้าน มีโลโก้ รูปภาพ และตัวอักษร และเมื่อธุรกิจดำเนินได้ครบปีจะต้องชำระภาษีป้ายภายในเดือนมีนาคม ของทุกปี ซึ่งจะคำนวนตามขนาด และแบบของป้าย หาต้องการเสียภาษีป้ายน้อยลงควรมีภาษาไทยอยู่ในป้ายด้วย โดยชำระขั้นต่ำปีละ 200 บาท ซึ่งหากไม่มีการยื่นภาษีป้าย จะต้องชำระค่าปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% จากค่าภาษีป้ายที่ต้องชำระ หรือในกรณีชำระล่าช้า จะต้องชำระค่าปรับ 2%
- ภาษีโรงเรือน กำหนดชำระปีละ1ครั้ง ที่สำนักงานเขตที่ร้านตั้งอยู่โดยชำระอยู่ที่ 12.5% จากมูลค่าที่ถูกประเมิน ซึ่งในกรณีที่เป็นการเช่าที่ ผู้ลงทุนจึงควรตกลงกับเจ้าของให้เรียบร้อยเสียก่อนว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบชำระค่าภาษีโรงเรือน
การวางแผนธุรกิจร้านกาแฟและกำหนดกลยุทธ์ ความสามารถในการสร้างรายได้ รวมไปถึงการกำหนดเงินลงทุนที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นสิ่งควรรู้ก่อนเปิดร้านกาแฟ ปี 2023 ซึ่งการพิจารณาจุดคุ้มทุนต่างๆ จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถพิจารณาและกำหนดราคาขายกาแฟในแต่ละแก้วได้และจำเป็นต้องรู้ว่าจุดคุ้มทุ้นของร้านมาจากยอดขายอะไรเท่าไหร่ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ลงทุนต้องรู้และประมาณค่าใช้จ่ายคงที่ได้สำหรับการบริหารและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ร้านกาแฟในฝันไปรอดในยุคที่ร้านกาแฟผุดมากพอๆ กับดอกเห็ดเช่นนี้